จับตาย หน่วยปฏิบัติการเลือดมัสยิดอัลฟุรกอน ไอปาแย

เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือ พิมพ์รายวันหลายฉบับเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กราดยิงในมัสยิดบ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย บาดเจ็บอีก 12 คน เมื่อปรากฏใบปลิวไม่ทราบแหล่งที่มาถูกนำไปติดและแจกจ่ายในพื้นที่ต่างๆ ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ใบปลิวที่ว่านี้มีลักษณะคล้าย “ประกาศจับ” เขียนข้อความว่า “จับตาย หน่วยปฏิบัติการเลือดมัสยิดอัลฟุรกอน ไอปาแย”

ในใบปลิวประกาศจับ มีรูปชายฉกรรจ์ 6 คนที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อเหตุกราดยิงในมัสยิด โดย 2 ใน 6 คือภาพของผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับไปแล้ว คือ นายสุทธิรักษ์ คงสุวรรณ (อดีตทหารพราน) กับ นายลุกมัน ลาเต๊ะบือริง ที่ตำรวจออกหมาย พ.ร.ก. (อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) ส่วนอีก 4 ภาพ คือชายฉกรรจ์ที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

ในใบปลิวประกาศจับยังตั้งค่าหัว นายสุทธิรักษ์ เป็นเงิน 100,000 บาท ส่วนอีก 5 คน รวมทั้งนายลุกมัน ตั้งค่าหัวคนละ 50,000 บาท ลงชื่อ “กลุ่มเหล่านักรบแห่งรัฐปัตตานี”

อภิสิทธิ์’เห็นตามนายกรัฐมนตรีมาเลย์ให้ใต้ปกครองตนเอง

‘อภิสิทธิ์’เห็นตามนายกรัฐมนตรีมาเลย์ให้ใต้ปกครองตนเองบางระดับ

นายก รัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วานนี้(27) แสดงการสนับสนุนข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ที่ว่าควรให้สิทธิการปกครองตนเองในบางระดับ แก่ประชาชนในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

นายอภิสิทธิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าววานนี้ว่า เขาจะหารือถึงแผนการสำหรับเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยที่ติดต่อกับ มาเลเซีย เมื่อเขาพานายกรัฐมนตรีนาจิบเดินทางเยือนพื้นที่ดังกล่าว ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือไทย-มาเลเซียประจำปีในเดือนธันวาคมนี้

ก่อนหน้านี้ นายนาจิบได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของไทย ซึ่งตีพิมพ์ในฉบับวันจันทร์(26)ว่า ประเทศไทยควรที่จะให้สิทธิปกครองตนเอง “บางรูปแบบ” แก่ดินแดนดังกล่าว ที่มีผู้คนเสียชีวิตไปกว่า 3,900 คนแล้ว นับแต่ที่ความรุนแรงซึ่งมุ่งหมายที่จะแบ่งแยกดินแดนปะทุขึ้นในเดือนมกราคม 2004

นายกฯอภิสิทธิ์ได้พูดถึงความเห็นนี้ว่า “นั่นเป็นวิธีการที่ถูกต้อง” และ “รัฐบาลของผมกำลังทำงานเพื่อทำให้กลายเป็นจริงขึ้นมา โดยในต้นเดือนธันวาคมนี้ผมและนายกฯมาเลเซียก็จะไปเยือนพื้นที่ภาคใต้ด้วย”

http://www.norsorpor.com/ข่าว/n1740160/อภิสิทธิ์%20เห็นตามนายกรัฐมนตรีมาเลย์ให้ใต้ปกครองตนเองบางระดับ

Autonomi Satu Pilihan Buat Selatan Thailand

Autonomi Mungkin Satu Pilihan Buat Selatan Thailand – Najib Oleh D. Arul Rajoo HUA HIN (Thailand), 26 Okt (Bernama) — Tuntutan kemerdekaan oleh kumpulan pemisah di Selatan Thailand adalah tidak wajar, namun Thailand seharusnya menawarkan tahap tertentu autonomi kepada wilayah yang majoritinya didiami oleh kaum Muslim itu, kata Perdana Menteri Datuk Seri Najib Tun Razak. Dalam satu temuramah berasingan dengan akhbar berbahasa Inggeris, Nation dan Bangkok Post pada Sidang Kemuncak ke-15 Asean di sini, Najib berkata tuntutan bagi mendapatkan kemerdekaan atau pemisahan tidak boleh diterima sama sekali. Beliau berkata sebarang tuntutan terhadap kerajaan Thailand perlu berada dalam ruang lingkup perlembagaan Thailand. “Resolusi yang berkekalan adalah soal kepercayaan – “kepercayaan, dan pastinya memenangi hati serta perasaan penduduk di Selatan,” kata beliau yang dijadualkan melawat wilayah yang bergolak itu pada bulan Disember ini bersama dengan rakan sejawatannya Abhisit Vejjajiva selepas Rundingan Tahunan mereka di Bangkok. Najib berkata beberapa bentuk autonomi tertentu boleh menjadi penyelesaian bagi menamatkan keganasan, dan menurutnya kerajaan Thailand boleh menawarkan kebebasan tertentu bagi penduduk di kawasan itu yang dirasakan amat penting buat penduduk tempatan, umpamanya pemilihan pemimpin tempatan, pekerjaan, agama dan pendidikan. “Ia adalah keputusan Thailand sendiri untuk menimbangkan sejauh mana autonomi di kawasan itu dapat diberikan, dan Malaysia sebagai negara jiran, tidak akan masuk campur dalam perkara itu. Anda mungkin tidak mahu menamakannya autonomi, tapi mungkin sekurang-kurangnya ada sedikit bentuk pembabitannya,” katanya. Lebih daripada 3,600 orang terbunuh sejak kumpulan bersenjata menyambung kembali kempen mereka pada Januari 2004 bagi mendapatkan kemerdekaan buat wilayah majoriti kaum Muslim di Pattani, Yala dan Narathiwat yang bersempadan dengan Malaysia. Najib berkata dalam lawatannya yang dirancang pada bulan Disember ini, beliau akan memberitahu penduduk tempatan bahawa Kuala Lumpur tidak akan menyokong mana-mana kumpulan ekstremis yang bertindak mencabuli undang-undang Thailand. “Begini, anda tahu yang anda perlu menjadi rakyat Thailand yang baik. Jangan harap Malaysia akan menyokong sebarang tindakan yang menyalahi undang-undang Thailand. Tindakan anda tindakan bersendirian, dan jika mereka (yang melanggar undang-undang) menyeberangi sempadan ke Malaysia, kami akan hantar mereka kembali (ke Thailand),” katanya kepada Nation. Najib berkata salah satu daripada isu utama yang turut memberi kesan dalam hubungan dua hala dan perlu diselesaikan segera ialah soal dua kerakyatan, di mana antara 20,000 dan 25,000 penduduk disekitar kawasan itu dipercayai memiliki kerakyatan Thailand dan juga Malaysia. Perdana Menteri memberitahu Bangkok Post bahawa jalan penyelesaian terhadap keganasan dan ekstremism boleh dicapai sekiranya kerajaan Thailand dapat berurusan dengan “kumpulan yang tepat” dan memperakui bahawa ia boleh dan seharusnya menangani masalah yang sebenarnya, yang dialami penduduk tempatan. “Jika anda berupaya mendapatkan kepercayaan mereka, dan mereka merasakan bahawa kerajaan sememangnya benar-benar mengambil berat terhadap kepentingan dan masalah mereka, saya rasa anda akan dapat lihat yang keadaan semakin bertambah baik. Sebaik sahaja majoriti penduduk menyokong anda, anda pasti dapat menghapuskan kumpulan ekstremis,” tambahnya. — BERNAMA

http://www.bangkokpost.com/news/local/26269/malaysian-pm-readies-for-visit-to-deep-south

tolong orang melayu patani

เรียนทุกท่าน

เนื่องจากศูนย์ทนายมุสลิมประจำจังหวัดยะลา

ขอความอนุเคราะห์จากท่านร่วมกันบริจาคสิ่งของให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลาง ยะลาเนื่องจากมีผู้ต้องขังบ้างส่วนที่ยังขาดสิ่งของเหล่านี้  เช่น

–   ผ้าโสร่ง

–   ที่ปูละหมาด  ( ซายาดะฮฺ )

–    กอปีเยาะฮฺ

–    เสื่อพลาสติก   ( ตีกา )

–    คัมภีร์อัลกรุอาน

–    หนังสือเกี่ยวกับศาสนา  เช่น  หนังสือ ฟิก  เตาฮีด

–    หรือเป็นเงินบริจาคก็ได้น่ะเพราะเพวกเขาอยากได้ตาข่ายกั้นแดดด้วย

อยากขอความช่วยเหลือจากท่านช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังดังกล่าวด้วยจักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

ร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์ทนายมุสลิมประจำจังหวัดยะลาทางเราจะรวบรวมสิ่งของที่ท่านเอามาบริจาคและจะส่งต่อไปที่เรือนจำ

ขอเอกองค์อัลลอฮฺทรงตอบแทน

ด้วยสลามและดูอาร์

พารารีเกิล  ศทม.ยะลา

ปล.ช่วยประชาสัมพันธ์ต่อ ๆ ด้วยน่ะค่ะ

รัฐต้องเลิกมองนักศึกษา PNYS เป็นโจร!

พีเอ็นวายเอส” (PNYS) คือกลุ่มนักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประกอบด้วย ปัตตานี (P) นราธิวาส (N) ยะลา (Y) สงขลาและสตูล (S)  เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธว่า กลุ่มนักศึกษา “พีเอ็นวายเอส” เป็นส่วนหนึ่งของกงล้อประวัติศาสตร์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่หมุนวนอย่างมี พลวัตในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
——
          “พีเอ็นวายเอส” (PNYS) คือกลุ่มนักศึกษาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประกอบด้วย ปัตตานี (P) นราธิวาส (N) ยะลา (Y) สงขลาและสตูล (S) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2522 จากแรงกายแรงใจของคนรุ่นใหม่จากปลายด้ามขวานราว 20 คนที่มาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความรักสามัคคี ปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นมุสลิม และรวบรวมสมาชิกที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายให้สามารถติดต่อถึงกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และรวมตัวกันทำประโยชน์เพื่อสังคม

แต่ข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้เช่นกันก็คือ การเปิดพื้นที่นอกห้องเรียนเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมในหลาย เรื่องหลายประเด็น บางครั้งก็ถูกมองอย่างไม่เข้าใจ และอีกหลายๆ ครั้งถูกมองอย่างอคติ
          ในสมัยเริ่มตั้งกลุ่มใหม่ๆ “พีเอ็นวายเอส” ถูกเพ่งเล็งจากหลายฝ่ายว่าเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ.2525 สมาชิกของกลุ่ม 14 คนถูกจับและตั้งข้อหาลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ แต่ภายหลังได้รับอิสรภาพจากการช่วยเหลือทางคดีของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนายทองใบ ทองเปาด์ ทนายแม็กไซไซ
          ปี พ.ศ.2528 “พีเอ็นวายเอส” เน้นบทบาทด้านการรับใช้สังคม อาทิ การจัดค่ายอาสาพัฒนาและศึกษาปัญหาในชนบท ตลอดจนโครงงานเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลทุรกันดาร
          ทว่าเมื่อสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เคลื่อนเข้าสู่ภาวะความไม่สงบใน ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่แม้จะยอมรับกันว่าเป็น “พลังบริสุทธิ์” กลับยิ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่ไว้ใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากฝ่ายความมั่นคง
          การจัดชุมนุมครั้งใหญ่ที่หน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึง 4 มิ.ย.2550 เพื่อเรียกร้องให้รัฐตรวจสอบเหตุการณ์ร้ายๆ ที่คาใจพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นฝีมือของ “รัฐ” เองหรือไม่ ทำให้พวกเขาต้องถูกตรวจสอบประวัติกันหลายวุ่นวาย หลายคนถูกขึ้นบัญชีดำ
          เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มนักศึกษา “พีเอ็นวายเอส” จึงร่วมกันจัดงาน“มหกรรมสืบสานวัฒนธรรมชายแดนใต้เพื่อสันติภาพ” ในวาระ 30 ปีพีเอ็นวายเอสขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่ให้สังคมได้รู้จักกลุ่ม “พีเอ็นวายเอส” หากแต่ต้องการให้สังคมไทยได้ “เรียนรู้และเข้าใจ” ประวัติศาสตร์ความเป็นมาและเป็นไป ตลอดจนวิถีวัฒนธรรมแห่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสภาพความจริงในพื้นที่ ณ ปัจจุบันที่นับวันผู้คนในสังคมไทยจะรู้จักและเปิดใจยอมรับน้อยลงทุกที

ฟายอัยดีน ดีเยาะ ประธานโครงงานสืบสานวัฒนธรรมชายแดนใต้เพื่อสันติภาพฯ และอดีตกรรมการพีเอ็นวายเอสฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ ปี พ.ศ.2550 กล่าวถึงภาพรวมของงานว่า เป็นที่น่าพอใจ จากเดิมหวังว่าจะมีคนมาร่วมแค่พันกว่าคน แต่เมื่อถึงวันงานจริงๆ กลับมีผู้เข้ารับฟังและรับชมนิทรรศการถึง 2,000 คน
          “ผมคิดว่าสาเหตุที่คนสนใจกันเยอะคงเป็นเพราะเนื้อหากิจกรรมต่างๆ ที่เตรียมไว้ล้วนเป็นโจทย์ให้สังคมได้คิดตาม เนื้อหาที่นำเสนอค่อนข้างเป็นข้อมูลทางวิชาการ โดยเฉพาะข้อเท็จจริงตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วง เวลาที่รัฐใช้กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อมูลความจริงเหล่านี้ทำให้คนในกรุงเทพฯ ตื่นตัวและให้ความสำคัญมาก”
          สำหรับกิจกรรมภายในงานมีทั้งบอร์ดนิทรรศการอธิบายอดีตจนถึงปัจจุบันระหว่าง รัฐไทยกับปัตตานี พิพิธภัณฑ์ของโบราณ การแสดงสีลัตกายง ปันจะสีลัต ละครสะท้อนสังคม ดิเกร์ฮูลู การขับร้องอานาซีด และเวทีสานเสวนาสู่สันติภาพ
          ไฮไลท์ของงานคือการสานเสวนา 3 หัวข้อ ได้แก่ “ความมั่นคงของชาติกับสิทธิมนุษยชนจะไปด้วยกันได้อย่างไร” มี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีที่เคยลงพื้นที่เก็บข้อมูลและเสนอแนวทางแก้ปัญหาใน รัฐบาลไทยรักไทย นายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความมุสลิม และ รศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร.

“ทุกครั้งที่สถานการณ์ไฟใต้ทวีความรุนแรง จะมีนักศึกษาออกมารวมพลังทันที โดย เฉพาะพีเอ็นวายเอส เพราะสมาชิกของกลุ่มล้วนมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกคนจึงมีแรงบันดาลใจอยากเห็นบ้านเกิดของตนเองสงบสุข ผมคิดว่าทุกฝ่ายควรมองบทบาทของนักศึกษาตรงนี้ว่านี่คือพลังบริสุทธิ์ที่ สังคมหรือชาวบ้านตั้งความหวัง ทุกคนก็รู้อยู่ว่ากลุ่มนักศึกษาไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แต่กลับถูกคนของรัฐมองว่าโจร” ฟายอัยดีน เผยความรู้สึก และว่า
          “สำหรับคนมลายูมุสลิมชายแดนใต้ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน รัฐก็ยังมีทัศนคติเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มองความคิดต่างของประชาชนว่าเป็นโจร ทั้งๆ ที่รัฐเองก็ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าใจในหลักการประชาธิปไตย แต่รัฐกลับไม่เคยเคารพ ไม่เคยแม้แต่จะรับฟังถึงปัญหาความเดือดร้อน ไม่เคยเคารพในวิถีชีวิตของชาวบ้าน จึงไม่แปลกที่รัฐพยายามดูด กด กลืน ให้ความต่างนั้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
          แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ได้ทำให้ ฟายอัยดีน และกลุ่มนักศึกษาพีเอ็นวายเอส รู้สึกย่อท้อ
          “ผมมองเป็นเรื่องขำมากกว่า ฝ่ายไหนจะมองอย่างไรผมไม่สนใจ เพราะพวกเราเป็นนักศึกษา สิ่งที่พวกเราทำคือรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิเสรีภาพของคนในพื้นที่ เพื่อให้พวกเขาห่างไกลจากความอยุติธรรม”
          สำหรับก้าวต่อไปของกลุ่มนักศึกษาจากปลายด้ามขวาน ฟายอัยดีน บอกว่า นักศึกษาต้องพัฒนาความคิดตนเองและชาวบ้านให้เห็นคุณค่าของสิทธิเสรีภาพตาม หลักการประชาธิปไตย เพื่อเดินหน้าสู่การมีพื้นที่ทางการเมืองอย่างสอดคล้องกับความเป็นตัวตนของ คนมลายูมุสลิมชายแดนใต้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่จะด้วยกระบวนการอย่างไรนั้นต้องหารือกันในหลายๆ ภาคส่วน รวมทั้งฝ่ายรัฐเอง
          ขณะที่เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.) ซึ่งมี ตูแวดานียา ตูแวแมแง เป็นประธาน และมีรากฐานมาจาก “พีเอ็นวายเอส” เช่นกัน มองไม่ต่างจากฟายอัยดีนว่า คงต้องยอมรับความจริงว่า ผลจากการจัดชุมนุมที่มัสยิดกลางปัตตานี และกระแสข่าวที่ประโคมออกไปทำให้สังคมภายนอกเข้าใจว่ากลุ่มนักศึกษามีส่วน กับขบวนการใต้ดิน ถูกฝ่ายความมั่นคงจับตา
          “ที่จริงแล้วการออกมาแสดงบทบาทเป็นกระบอกเสียงตรงนั้น พวกเราอาศัยความเป็นนักศึกษาเพื่อให้สังคมรับรู้ความรู้สึกร่วมของชาวบ้าน และในฐานะคนในพื้นที่ โดยไม่มีอะไรแอบแฝงเหมือนที่สังคมเข้าใจ” ตูแวดานียา กล่าว

          สำหรับบทบาทของ คพช.ในขณะนี้ เน้นไปที่การจัดเวทีสัมมนาในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายพิเศษที่ใช้อยู่ใน พื้นที่ โดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึก เพื่อให้ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจ และปกป้องสิทธิเสรีภาพของตนเองได้ นอกจากนั้นก็พยายามทำงานอาสาพัฒนาในพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจาก รัฐ
          “เราจะช่วยกันผลักดันให้ชาวบ้านมีพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น ใช้รูปแบบประชาธิปไตยทางตรงเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง จากเดิมที่ชาวบ้านใช้อำนาจผ่าน ส.ส.กับ ส.ว.ทางรัฐสภา แต่วันนี้ผลที่ออกมาเห็นชัดแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ โศกนาฏกรรมที่หมู่บ้านไอปาแย (เหตุการณ์บุกยิงพี่น้องชาวไทยมุสลิมถึงในมัสยิดที่บ้านไอปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง) สะท้อนความจริงว่าระบบที่มีอยู่ไม่สามรถคลายความเคลือบแคลงใจของชาวบ้านที่ มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้ และไม่สามารถผลักดันให้เกิดคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ แล้วจะมีหวังเรื่องความเป็นธรรมได้อย่างไร”
          แม้จะรู้สึกท้อกับกระบวนการยุติธรรมไทย แต่ ตูแวดานียา ก็ยืนยันแทนตัวเองและกลุ่มเพื่อนว่า ไม่เคยคิดเลือกใช้วิธีรุนแรง หรือสนับสนุนกลุ่มขบวนการใต้ดินในการต่อสู้
          “ผมรู้สึกท้อก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นคนที่สนับสนุนความรุนแรงเหมือนกับที่หลายคนสงสัย ว่ากลุ่มนักศึกษาไปมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนกลุ่มขบวนการใต้ดิน ผมยืนยันว่าพวกเราไม่เคยคิดเช่นนั้น แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกใส่ร้ายป้ายสี เป็นวาทกรรมปกติตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่รัฐไม่พอใจกับการออกมาเคลื่อนไหวของ ประชาชนและนักศึกษาในพื้นที่ ทั้งๆ ที่พวกเราแค่อยากเห็นสันติภาพ”
          เช่นเดียวกับ ไลลา เจะซู  ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนนักศึกษาเพื่อสันติภาพ (คยนส) ที่รู้สึกผิดหวังกับความล้มเหลวของภาครัฐในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในดินแดน ด้ามขวาน
          “ฉันคิดว่าตราบใดที่รัฐยังไม่สามารถจัดการเรื่องความรู้สึกไม่เป็นธรรมใน หัวใจของประชาชนได้ ตราบนั้นสันติภาพก็ไม่มีวันเกิดขึ้น”
          ไลลา ยังกล่าวถึงการปรับโครงสร้างของกลุ่มนักศึกษาจากชายแดนใต้ด้วยว่า เนื่องจากหลายคนจบการศึกษาไปแล้ว คงต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ที่อาศัยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากทุก ฝ่าย คาดว่าเร็วๆ นี้น่าจะมีองค์กรใหม่ขึ้นมารองรับการทำงาน…
          นี่คือคลื่นความคิดและย่างก้าวแห่งอนาคตของขบวนการนักศึกษาจากชายแดนใต้ นักศึกษาที่ใครๆ ก็ล้วนเชื่อมั่นในพลังบริสุทธิ์ และฝากความหวังให้เป็นอนาคตของบ้านเมือง!

Pulo accuses government-trained militia of mosque massacre

A prominent Malay separatist group has accused the Thai government of turning a blind eye to the massacre of 11 Muslims praying at a village mosque in Narathiwat’s Cho I Rong district on June 8.

The Patani United Liberation Organisation (Pulo), in a statement on its website, accused government-trained militia of carrying out the attack against the Malay Muslim villagers at the al-Furqan mosque. The attack has driven a deeper wedge between the Thai state and the ethnic Malays in the deep South.

 Pulo said Thailand’s endorsement of the Asean Inter-Governmental Commission on Human Rights was bogus and “masks the seemingly permanent acts of violence by its state institution” against Malay “subjects” in the deep South.

Kemelut Selatan Thai perlu rencana tersusun

Selesai Jumaat kelmarin lapan mahasiswa ditahan polis berikutan demonstrasi yang mereka adakan selepas solat Jumaat dan laman Mahasiswakini.com melaporkan bahawa kumpulan mahasiswa berkenaan membuat aksi itu di depan Kedutaan Thailand.

Aksi itu dilakukan sebagai maklumbalas terhadap isu pembunuhan umat Melayu Muslim di Selatan Thai baru-baru ini di Kg Air Tempayan, Narathiwat pada 8 Jun lalu. Cara serangan itu dilakukan dengan begitu terlatih menyebabkan ramai pihak melihat bahawa tentera berkemungkinan melakukan keganasan tersebut.Menurut laporan laman itu, antara siswa yang turut ditahan ialah Shazni Munir Ithnin yang dikatakan terlibat dalam kes ‘anti-Rosmah’. Daripada lapan siswa itu, antara lain yang turut ditahan ialah Mohd Shafie Hashim dan Lee Song Yong. Enam siswa dibawa ke Balai Polis Sentul manakala dua siswi lagi dibawa ke Balai Polis Dang Wangi untuk soal siasat, demikian menurut laman tersebut. Dipercayai suasana demonstrasi bermula aman tapi situasi tegang dicetuskan polis apabila menarik kasar seorang mahasiswa. Dua mahasiswi berkenaan ditangkap tanpa usul periksa semasa mereka sedang berehat setelah demonstrasi berkenaan bersurai. Sebagai yang dijangka, pihak penguatkuasa ketika membuat tangkapan akan menggunakan alasan bahawa perhimpunan tersebut tidak memiliki permit. Ketua penyiasat kes ASP Aziz memberitahu bahawa kesemua mereka ditahan di bawah Seksyen 27 Akta Polis kerana menyertai perhimpunan haram, laman itu menjelaskan. Disusuli forum pada sebelah malamnya Sebenarnya, acara mereka tidak hanya terhenti di situ. Pada sebelah malamnya, kumpulan mahasiswa itu bercadang untuk mengadakan Forum Kesedaran Isu Pembunuhan Muslim Selatan Thailand yang dijadualkan berlangsung di Masjid ar-Rahman Universiti Malaya. “Berlangsung atau tidak forum itu, tak dapat dipastikan dengan sebab insiden ini,” isi kandungan laman itu dipetik. Mahasiswa beri tempoh tiga hari Demonstrasi yang bermula selepas solat Jumaat tadi disertai 200 mahasiswa daripada beberapa barisan mahasiswa seperti Gabungan Mahasiswa Islam SeMalaysia (Gamis), Persatuan Kebangsaan Pelajar Islam Malaysia (PKPIM), Gerakan Demokratik Belia dan Pelajar Malaysia (Dema) dan Kumpulan Aktivis Mahasiswa Independen (Kami). Mahasiswakini melaporkan bahawa mereka menghantar memorandum kepada wakil konsulat kerajaan Thailand walaupun timbul keraguan kerana wakil konsulat yang menerima memorandum tersebut tidak mahu memperkenal diri. Namun, ada riak dan nada serius di sebalik perhimpunan tersebut. Khasnya, ketika perkumpulan mahasiswa itu memberikan tempoh kepada pihak Kedutaan Thailand untuk menjelaskan situasi sebenar di sebalik peristiwa Kg Air Tempayan itu. Jurucakap perkumpulan mahasiswa berkenaan, Mohd Idris berkata, mahasiswa beri tempoh tiga hari agar kerajaan Thailand dapat memberikan maklumbalas terhadap isu yang berlaku di wilayah berkenaan kira-kira sebulan yang lalu. Hal ini bermaksud, pihak kedutaan perlu tampil memberikan penjelasan kepada perkumpulan mahasiswa tersebut pada Isnin depan. Namun, dengan keadaan mereka sendiri meragui wakil kedutaan yang menerima memorandum tersebut, adakah kedutaan dapat menunaikan permintaan mereka? Apakah memorandum tersebut benar-benar diteliti? Demonstrasi dan forum kini seolah-olahnya telah menjadi tindakan biasa untuk menekan kedutaan. Yang paling utama kini, apakah sudah wujud suatu kumpulan pendesak yang bertugas membawa isu ini ke meja rundingan supaya selalu ada muhasabah untuk mengkaji di mana ruang kelemahan yang perlu diperbaiki dan di mana ruang kekuatan yang perlu diperteguhkan. Hal ini juga yang sepatutnya turut diambil perhatian oleh kalangan lebih 200 mahasiswa yang prihatin terhadap masalah di Selatan Thai itu. Seperti biasa, kita boleh juga mencatatkan betapa ramainya polis dan FRU bersama trak dan kereta peronda yang mengawal kawasan kedutaan berkenaan. Tetapi, hal bersifat intelektual, mungkin usaha menubuhkan kumpulan mahasiswa universiti yang akan membuat penelitian terhadap perkembangan Selatan Thai dari semasa ke semasa adalah suatu yang penting. Banyak maklumat yang kita kerap ketinggalan terhadap jejak-jejak tindakan sebelum ini, khasnya yang berkaitan dengan usaha-usaha memperbaiki masalah umat Melayu Muslim di Selatan Thai itu. Misalnya, dengan tenaga mahasiswa, anak muda dan belia yang ramai ini, adakah boleh disusun usaha menemubual, membuat pungutan suara ke atas rakyat di wilayah bergolak itu, samada mereka bersedia untuk merdeka atau tidak daripada kuasa Thai dan lain-lain persoalan lagi. Jika autonomi tak diberi, merdekalah jalan penyelesaiannya Sementara itu, ada pendapat menyatakan bahawa autonomi untuk tiga wilayah bergolak di Selatan Thai dan pengagihan kuasa pusat kepada rakyat tempatan adalah cara terbaik untuk menyelesaikan konflik yang berpanjangan di situ. Seorang cendekiawan Thai dan penyokong keamanan Praves Wasi, dari Institut King Prajadhipok berkata struktur kuasa pada masa ini yang berpusat di Bangkok tidak sesuai untuk masyarakat majmuk seperti Thai. Tambah beliau, punca sebenar yang menyebabkan konflik di situ berpanjangan ialah penggunaan satu struktur kuasa di negara itu. “Perlu ada pentadbiran bersama melalui pengagihan kuasa pusat. Bukan hanya di tiga wilayah selatan itu, tetapi juga di wilayah lain kerana kita mempunyai masyarakat yang pelbagai dengan budaya, agama dan bahasa yang berbeza,” katanya. Selain Praves Wasi itu, kita boleh meneliti kuasa-kuasa intelektual seorang ahli sejarah terkemuka, Charnvit Kasetsiri dari Universiti Thammasart, di Bangkok yang pernah membuat bantahan ke atas Perdana Menteri Thailand Abhisit Vejjajiva dan beberapa jawatankuasa politik lainnya untuk menukar nama negara Thailand kepada nama asalnya; Siam. Sebetulnya, pengaruh intelektual kalangan cendekiawan Thai sendiri mungkin sedikit sebanyak dapat membantu kita dalam urusan menangani kemelut di Selatan Thai itu. Pendekatan demonstrasi, forum dan bengkel ini boleh diterus dan kita perlu pelbagaikan rundingan, pertemuan dengan kalangan tokoh-tokoh cendekiawan Thai sendiri berhubung hal ini. Sekali lagi, di atas bahu anak-anak muda, belia dan mahasiswa inilah terletaknya beberapa harapan besar ketika sejuta masalah yang terbelenggu di dada umat ini gagal diselesaikan melalui jalan politik dan politikus yang tidak jujur. Jadikanlah ujian ditahan polis baru-baru ini sebagai suatu langkah permulaan untuk menyusun batu-bata perjuangan pada mada hadapan. _

Police discover 22 small bombs around Hat Yai

Police discover 22 small bombs around Hat Yai

Police yesterday confiscated 22 small home-made bombs planted in downtown Songkhla and near the main gate of Prince of Songkhla University in Hat Yai,

a police source said, suggesting that the operation might have been politically motivated.Published on October 7, 2007

Five bombs were placed near the university and 12 near a restaurant in Songkhla, while five were left in a public park in Hat Yai. No details were given.

The bombs were relatively small, without shrapnel or a fuse.
The perpetrator apparently intended to “create incidents” to discredit authorities, said the source.

Hat Yai has been the scene of several bombing incidents, but security officials suspect the devices they found yesterday were politically motivated and not related to the insurgency in the Malay-speaking provinces of Pattani, Yala and Narathiwat.

Explosives used in the three southernmost provinces – frequently for roadside bombing attacks against police and passing military vehicles – are much larger and often loaded with shrapnel material.

Meanwhile, three assistant village chiefs were targeted by suspected insurgents in the latest violence in the deep South, with only one surviving with serious injuries.

Assistant village chief Wae-hama Kahamah, 40, a resident of Tambon Prachan in Pattani’s Yarang district, was shot dead just moments after he walked out of the local mosque yesterday, police said.

Eyewitness said Wae-hama, who also served as chairman of the village fund, was killed by a lone gunman who walked up and shot him once in the head before jumping on a getaway motorcycle waiting just metres away.

In Narathiwat, assistant village chief Sorpee Maeroh , 35, of Tambon Bango-stoe in Rangae district, was shot four times as he was riding his motorbike on Friday evening.

He survived but is in critical condition.

In nearby Chanae district in Tambon Chang Peurk, Che-por Dae-mah, 53, was shot dead as soon as he left his house to pray at a local mosque yesterday.

He was hit twice in the back and died at the scene.

Also yesterday, a 77-year-old woman was killed by militants in her house in Yala.

More than 2,600 people have been killed since a separatist insurgency broke out in January 2004 in the Muslim-majority south.

Meanwhile, Fourth Army Area commander Lt-General Wirote Buacharoon will double as head of the Civilian-Police-Military 43 (CPM43) in the latest rotation of officers, Army spokesman Colonel Acra Thiproch said.

Witote will replace Maj-General Samrej Srirai, who will be reassigned as deputy commander of the Fourth Army Area.

http://www.youtube.com/watch?v=WEnBkxrlRKk&feature=player_embedded

http://www.puloinfo.net/?Show=ReadArticles&ID=124

pelakuan siam yang kejam

Pembunuhan massa yang diperbuat oleh suatu gerombolan ‘gelap’ terhadap jemaah solat dalam Masjid Al Furqan di Mu 8, Ban Ai Payae, Tambol Cuab, Amphor Coh Airong, Cangwat Narathiwat pada waktu malam tanggal 8 Mitunayon (8 Jun bersamaan dengan Isnin 14 hb. Jumad Thani) lepas yang mengakibatkan 10 orang mati dan 12 lagi cedera parah, bukan sahaja amat menderitakan sanak saudara mangsa si mati dan si cedera parah, malah membuatkan ramai lagi pendengar khabar tragedi tersebut dari berbagai media secara meluruhnya jadi terkejut besar, tidak terhad cuma dalam tiga wilayah sempadan selatan malah di seluruh negera ini.

 Dalam agama Islam ‘masjid’ adalah ‘Rumah Allah’ atau ‘Rumah Tuhan’. Bila-bila masapun seseorang yang beriktikaf dalam masjid akan merasa nyaman dan begitu selamat. Mereka merasa lebih selamat daripada di mana-mana tempat namun di rumahnya sendiri. Dalam masjid tiada percakapan atau perbualan yang sia-sia saja. Masjid adalah tempat mereka semata-mata berbuat ibadat. Kalau mahu bermasyuarat jemaahnya akan menggunakan ruang lain yang bukan tempat berbuat amalan wajib. Patut dipaham di tempat itu tidak dilayani teh atau minuman apa-apapun.

Masalah yang bertunjang dalam atau ‘teras masalah’ di antaranya ialah masalah ‘tawarikh’ (sejarah) yang menyusulkan asal usul kaum etnik mereka (bangsa Melayu Patani -penterjemah), masalah kepolitikan-pentadbiran pada masa silam hingga kini yang mereka (penganut Islam) merasa dirinya tertindak sebagai ‘rakyat atau warga taraf ke-2’ yang selalu tertindas, ketidakadilan yang mereka dapati, ketidaksaksamaan di sisi undang-undang yang amat menyedihkan dan ketidakkeupayaan di segi kebendaan yang mengalami mereka!

Semua penderitaan yang menyakiti mereka diperbuat oleh politikus (ahli politik), pegawai pentadbir atau penguatkuasa kerajaan dalam setiap corak & warna seragam (uniform) yang dipakainya. Samakening (selama ini) umat Islam di kawasannya dilanda kesengsaraan dan kedukacitaan tak terperi. Coba ingatkan beberapa hal pengaduan diajukan mereka di mahkamah jadi sial saja kerana dilanda pembicaraan kosong!

Contohnya kes tersuhur Taun Haji Sulong To’ Mina (Ayrm.Tn.guru Hj. Muhammad Sulum b. Tn.Hj. Muhd. Abdul Kadir bin Tn.Hj. Tuan Minal -penterjemah) ayahanda kepada Nai Den To’ Mina mantan anggota senat undian Wilayah Pattani tahun 2543 (M2000) dan bekas wakil rakyat Pattani polikali. Ayahandanya, Taun Haji Sulong ditahan dan ‘dighaibkan’ (dihilangkan) pada Mesayon 2491 (April 1948 bersamaan Jumadal Awal 1367)*. Hingga sekarang kes kematian misteri Tn.Hj. Sulong yang terghaib belum lagi atau tidak diusahakan untuk disiasati dan dibicarakan

*(Pada catatan lain mengatakan Tn.Hj. Sulong ditahan dan diculik polis di Songkhla/Senggora pada hari Jum’at tanggal 13 Aug. 1954 bersamaan Jum’at 14 Thul Hijjah 1373 dan ‘dighaibkan’ pada malam itu juga –penterjemah).

Sebagai contohan lain temasuk kes seorang peguam Muslim Nai (Encik) Somchai Neelapaicit yang telah diculik dan dihilangkan beberapa tahun kemudian. Kes pembunuhan massa dalam Masjid Al Furqan pada 8 Mitunayon (8 Jun bersamaan 14 Jumad Thani) lepas bukan kali pertama berlaku peristiwa sedemikian, malah pembunuhan secara beramai-ramai telah berlaku di Masjid Krisek pada 28 Mesayon 2547 (28 April 2004 bersamaan dengan Rabu 8 hb. Rabiul Awal 1425) yang mengakibatkan 32 orang Muslim mati sementara pegawai kerajaan 3 orang mati dan 17 orang lagi cedera parah.

Selepas itu berlaku pula pembunuhan secara beramai-ramai kali terbesar iaitu kes pembubaran massa penunjuk perasaan di Tak Bai, Narathiwat pada tanggal 25 Tulakom 2547 (25 Okt. 2004 bersamaan Isnin, 11 Ramadhan 1425), akibatnya 78 orang mati kesesakan nafas (mengikut keputusan Mahkamah baru-baru ini) atas truk tentera sementara diangkut ke Kem Ingkhayudha Borihan, Amphur Nongcik, Cangwat Pattani. Peristiwa itu banyak dipertikaikan dan menimbulkan kemusykilan di kalangan orang ramai yang membaca akhbar. Di antara hujah-hujahnya ialah: Mengapa dan bagaimanakah cara perangkutan yang membawa penganut Islam berjumlah besar itu termati kesesakan nafas?

Orang Islam yang justru bernasib malang melanda kematian yang amat menderita dan siksa pra pulang ke Rahmat Allah itu, walau sanak saudaranya telah direhabilitasikan, namun dipercayai seumur hidup mereka tiada keupayaan akan tersembuh dari kesakitan jiwa yang tertekan dan tidak tertaranya!

 Cara memupuskan kedendaman yang membisa dalam hati sanubari sanak saudara atau adik beradik si mati sebagai suatu jalan penyelesaian masalah total, dimestikan menggunakan masa sepanjang umur beberapa jenerasi kita. Sedangkan kita berlumrah mendengar kerajaan mengata masalah sempadan selatan amat rumit diselesaikan kerana ia telah bertunjang jauh dan makan masa paling lama hingga amat sukar diatasi. Justeru itu untuk menyelesaikan masalah, kerajaan mesti guna pendekatan ‘kepolitikan mendahului ketenteraan’, seperti mana setiap kerajaan melafalkan wacana seakan itu. Boleh dikata apa berlaku kerajaaan tidak mahu melihat sampai ke punca masalahnya atau ke akar umbinya. Mereka khuatir atau tidak berani menjelaskan yang ‘sengoti’ (‘sebenar’). Mereka tidak mengaku hakikat sebenarnya bahwa ‘kakitangan kerajaan’ lah pelaku penjenayahan atau pengancam situasi kekejaman di kawasan itu!

Rakyat Turki..Demonstrasi depen kedutaan Thailand.

Rakyat Turki..Demonstrasi depen kedutaan Thailand.
pada 26-6-2009 pertubuhan menentang kezaliman di Turki telah mengadakan demonstrasi didepan kedutaan Thailand di Turki yang disertai lebih dari 300 orang membantah diatas kezaliman Siam keatas rakyat Melayu Patani.

Demonstrasi ini dipimpin oleh Ahmad faruk Onsal ketua pertubuhan menentang kezaliman dan ahli parleman bagi parti kerajaan turki, demonstrasi Ini dibuat setelah pihak pertubuhan itu mendapati bahawa muslim di Patani telah di tembak mati didalam masjid sewaktu mengerjakan sembahyang berjamaah diwilayah naratiwat..

Sebelumnya, 10 hari dari mereka mengadakan demonstrasi didepan kedutaan Thailand di Ankara, Pihak petubuhan Turki telah menghantar document bantahan kepada kedutaan Thailand dan berharap pihak kedutaan dapat memberi penjelasan tentang pembunuhan itu.Malangnya pihak kedutaan tidak membagi respon diatas permintaan mereka. .

Diantar perkara-perkara yang mereka tujukan kepada kedutaan Thailand ialah;

– Pihak Pertubuhan minta berjumpa dengan duta Thai di turki meminta penjelasan serta bagi document yang berkaitan dengan kezaliman tapi pihak kedutaan Thai tolak perkara tersebut.
– Negera thailand adalah negara penjajah .. Thailand sedang jajah Patani sejak beratus-ratus tahun dah lamanya.
– minta kerajaan Thai berhenti dari berbuat kerja keji dan tiada peri kemanusiaan ini.
– Pihak pertubuhan tak akan lihat kezaliman ini sahaja bahkan akan bekerja kuat demi untuk keadilan rakyat Patani . – Thailand hanya berusaha untuk menghapus kewujudan bangsa Melayu Patani.

Terima kasih Rakyat Turki..Demonstrasi depen kedutaan Thailand.

Pertubuhan pembebasan Patani bersatu (PULO) bagi pihak seluruh rakyat Patani, mengucapkan setinggi-tinggi penghargaan dan terima kasih kepada seluruh rakyat Turki yang telah menunjuk simpati terhadap kesengsaraan yang dialami rakyat Melayu Patani dalam tragedi pembunuhan beramai-ramai oleh anasir-anasir keselamatan Thailand dalam masjid al-Furqan pada 8 Jun 2009 semasa mereka sedang menunaikan solat isyak berjemaah.

Rakyat Turki walaupun jauh beribu-ribu batu dari Patani, hari ini Jumaat 26 hb Jun 2009 mereka bangkit mengadakan tunjuk perasaan besar-besaran selepas solat Jumaat di depan kedutaan Thailand di Angkara membantah pembunuhan tersebut, dan inilah satu-satunya tunjuk perasaan yang membantah kekejaman Thailand terhadap rakyat Patani yang tidak berdosa didakan secara besar-besaran baik didalam Patani atau diluar Patani selepas tragedi tersebut.

Terima kasih rakyat Turki, dan semuga kepimpinan Khilafah Othmaniyyah akan muncul semula menerajui dunia Islam yang ternyata begitu lemah dan terhina sekarang ini.